อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศการท่องเที่ยวด้วยการเดินทางแบบไม่คุ้นเคยกันบ้าง
HotelSThailand เลยมาชวนเพื่อนๆ นั่งรถไฟไปเที่ยวใกล้ๆ กรุงเทพฯ แบบไปเช้าเย็นกลับที่ จ.กาญจนบุรี เที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ไปตามเส้นทาง ชมวิวชิลล์ๆ รับลมเย็นๆ ในช่วงหน้าฝน ระหว่างทางเราจะได้พบกับอะไรกันบ้าง เตรียมกระเป๋าแล้วก้าวเท้าขึ้นรถไฟตามเรามาเลยจ้า
ก่อนวันเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ เราเตรียมตัวด้วยการซื้อตั๋วรถไฟกันก่อน ซึ่งสามารถโทรไปจองตั๋วรถไฟได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 1690 ขบวนรถไฟที่เราจอง คือ
ขบวนรถไฟพิเศษนำเที่ยวน้ำตก ซึ่งจะมีบริการในช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ราคาตั๋วไปกลับจะอยู่ที่ 120 บาท (รถธรรมดา) เมื่อโทรไปจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว วันต่อมาก็สามารถไปชำระเงินและรับตั๋วรถไฟที่สถานีรถไฟใกล้บ้านได้เลยจ้า
เมื่อถึงวันเดินทาง เรามาที่สถานีรถไฟหัวลำโพงก่อนเวลารถไฟออกประมาณ 30 นาที โดยรถไฟที่เราจะขึ้นนั้นเป็นขบวนแรกของวัน ออกเดินทางเวลา 6.30 น.
ขบวนรถไฟพิเศษนำเที่ยวน้ำตก ขบวนที่ 909
บรรยากาศบนรถไฟ
เมื่อรถไฟออกได้สักพัก จะมีเจ้าหน้าที่รถไฟขึ้นมาตรวจตั๋ว และแนะนำว่าขบวนรถไฟเที่ยวนี้จะพาเราไปที่ไหนกันบ้าง ซึ่งที่ที่เราจะแวะ มีถึง 5 แห่งด้วยกัน ก็คือ สถานีรถไฟนครปฐม สะพานข้ามแม่น้ำแคว ถ้ำกระแซ น้ำตกไทรโยคน้อย และสุสานทหารสัมพันธมิตร ก่อนกลับมาที่หัวลำโพงอีกครั้ง
เมื่อรถไฟออกได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่รถไฟแนะนำเมนูอาหาร ให้พวกเราได้สั่งกันก่อน ซึ่งอาหารที่เราสั่งจะได้รับในช่วงขากลับ แนะนำให้สั่งไว้เลยเพราะว่าตอนเย็นไม่มีขายนะจ๊ะ แอบกระซิบว่าเจ้าหน้าที่แต่ละคนมีลีลาการขายที่เก่งมากๆ เลยล่ะ
จากนั้นไม่นาน เราก็มาถึงสถานีแรก คือ สถานีรถไฟนครปฐม ที่นี่จะมีเวลาให้เราเดินเที่ยวประมาณ 40 นาที โดยสามารถเดินชมตลาด แวะซื้อของฝาก และสักการะองค์พระปฐมเจดีย์ บรรยากาศช่วงเช้าวันเสาร์แบบนี้ก็ยังคึกคักไปด้วยผู้คนมากมายเลยล่ะ
บริเวณด้านหน้าสถานีรถไฟ
สถานีรถไฟนครปฐม
เมื่อได้เวลาขึ้นรถไฟอีกครั้ง เราก็ได้ข้าวเหนียวห่อใบตองร้อนๆ ราคาเพียง 20 บาท มานั่งทานบนรถไฟ เติมท้องให้อิ่มแล้วไปต่อกันเลยจ้า
ชมวิวข้างทาง นั่งคุยกันเพลินๆ ไม่นานเราก็มาถึง
สถานีสะพานแควใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ สะพานข้ามแม่น้ำแคว เราสามารถเดินเล่น ชมความสวยงามของแม่น้ำแคว ถ่ายรูปสวยๆ บนสะพานซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของ จ.กาญจนบุรี
สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ ความยาว 415 กิโลเมตร โดยมีความเป็นมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งใช้แรงงานจำนวนกว่าหมื่นคนในการสร้าง เส้นทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจาก จ.ราชบุรี ยาวไปจนถึงประเทศพม่าเลยทีเดียว
สะพานข้ามแม่น้ำแคว
วิวแม่น้ำแควจากบนรถไฟ
เสร็จจากสะพานข้ามแม่น้ำแคว ก็เดินทางกันต่อ ไม่นานเราก็ผ่านมาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของทางรถไฟสายนี้ คือ
ทางรถไฟสายมรณะ และ
ถ้ำกระแซ ที่ทางด้านซ้ายสามารถชมวิวแม่น้ำแควได้สวยที่สุด ส่วนทางด้านขวาจะเป็นหน้าผา ที่มีความเชื่อกันว่า ถ้าได้เอามือแตะหน้าผา แล้วเอามาลูบหน้าผากพร้อมขอพร จะทำให้สมปราถนา โดยรถไฟจะวิ่งช้าๆ ให้เราได้เอื้อมมือไปแตะหน้าผาได้ค่ะ
เอื้อมมือไปแตะหน้าผา
ถ้ำกระแซเมื่อรถไฟวิ่งผ่าน
ถัดจากจุดนี้มา บรรยากาศด้านนอกรถไฟก็เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มของต้นไม้และสายน้ำ เจ้าหน้าที่รถไฟได้บอกว่าจะมีจุดหนึ่งที่มีวิวคล้ายๆ ป่าอะเมซอน มองออกไปก็รู้สึกว่าคล้ายจริงๆ
เมื่อถึงเวลาใกล้ๆ เที่ยงวัน เราก็เดินทางมาถึง สถานีน้ำตก กันแล้ว จากตรงนี้เราสามารถเดินทางไปน้ำตกไทรโยคน้อยกันได้ โดยการนั่งรถสองแถว (ค่าโดยสารคนละ 20 บาท)
สถานีน้ำตก บรรยากาศร่มรื่น
น้ำตกไทรโยคน้อย เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของ จ.กาญจนบุรี เป็นน้ำตกขนาดเล็กเพียงชั้นเดียว รายล้อมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาเล่นน้ำตกในช่วงบ่ายวันเสาร์
บรรยากาศของน้ำตกไทรโยคน้อย
หัวรถจักรไอน้ำ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หน้าทางเข้าอุทยานฯ
ถ้าใครอยากมาเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อยโดยไม่นั่งรถไฟมาเหมือนเรา ก็สามารถมาเที่ยวได้ทุกวัน โดยช่วงที่น้ำตกมีน้ำเยอะและสวยงามที่สุด คือช่วงฤดูฝน [เดือนกันยายน - ตุลาคม] และยังไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานอีกด้วยนะ
เราใช้เวลาอยู่ที่น้ำตกไทรโยคน้อยประมาณ 3 ชั่วโมง เพลิดเพลินกับการเอาขาจุ่มน้ำ ชมบรรยากาศ ถ่ายรูปสวยๆ จนเต็มอิ่ม แล้วเมื่อใกล้ถึงเวลารถไฟออก ก็นั่งรถสองแถวกลับไปยังสถานีน้ำตก เพื่อเตรียมตัวขึ้นรถไฟกลับกัน
ก่อนจะกลับ เราก็มาแวะจุดหมายสุดท้ายของทริปนั่งรถไฟเที่ยวกัน ที่ สุสานทหารสัมพันธมิตร สุสานขนาดใหญ่บนพื้นที่ 17 ไร่ ที่บรรจุศพเชลยศึกที่เสียชีวิตระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะกว่า 6,000 หลุม บรรยากาศภาพในสุสานสวยงาม เงียบสงบ และร่มรื่น
สุสานทหารสัมพันธมิตรเปิดให้เข้าเยี่มชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 - 17.00 น. โดยถ้าใครอยากแวะไปเยี่ยมชม เราขอแนะนำให้เยี่ยมชมด้วยความสงบ เพื่อเป็นการเคาราพต่อสถานที่ และผู้ที่ล่วงลับ ไม่ควรวิ่งเล่นในบริเวณสุสาน และไม่ควรนำอาหาร เครื่องดื่มทุกชนิดเข้าไปรับประทานนะคะ
และเมื่อใกล้เวลาห้าโมงเย็น ก็ได้เวลาขึ้นรถไฟเพื่อมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ กันแล้ว เมื่อรถออกจากสถานีกาญจนบุรีไปสักครู่ใหญ่ ก็ได้เวลาทานมื้อเย็นกันแล้ว เป็นเมนูที่เราสั่งกับเจ้าหน้าที่รถไฟในเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา คือ ก๋วยเตี๋ยวราชบุรี ขนมตาล และ ขนมชั้น นั่นเอง ส่วนใครที่อยากทานน้ำเย็นๆ ไม่ต้องห่วงเลย เพราะมีขายตลอดจ้า
และเมื่อถึงเวลาประมาณ 19.00 นิดๆ เราก็กลับมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงโดยสวัสดิภาพ เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในการท่องเที่ยวด้วยการนั่งรถไฟ เรียกได้ว่าสนุก เพลิดเพลิน ไปตามๆ กันเลยล่ะ ไม่แน่ว่าคราวหน้า เราอาจจะได้จัดทริปนั่งรถไฟไปเที่ยวที่ไหนอีกสักแห่งก็ได้นะ อย่าลืมติดตามการเดินทางครั้งหน้าของเรากันที่เฟซบุ๊ก
HotelSThailand กันด้วยนะคะ